ทัวร์ตุรกี
ฮายาโซฟีอา (Hagia Sophia) หรือภาษาตุรกี อายาโซเฟีย (Ayasofya)
เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนานิกายออร์ทอดอกซ์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า
ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งและมักถูกจัดให้อยู่ในรายการสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง เป็นสถานที่ที่น่าท่องเที่ยว
ทัวร์ตุรกี
จุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมขนาดมหึมากลางวิหาร และนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์
ฮายาโซฟีอาเคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมานานเกือบพันปี
จนกระทั่งอาสนวิหารเซบียาสร้างเสร็จในปี 1520
สิ่งก่อสร้างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างให้เป็นโบสถ์ในระหว่างปี ค.ศ. 532-537
โดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ และเป็นโบสถ์หลังที่สามถูกสร้างขึ้นในสถานที่เดียวกันนี้ (โบสถ์สองหลังแรกถูกทำลายในระหว่างการจลาจล)
โบสถ์นี้เป็นศูนย์กลางของนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์เป็นเวลาเกือบ 1,000 ปี
โบสถ์หลังแรก
หินรูปแกะที่คงเหลืออยู่จากโบสถ์ซึ่งสร้างโดยจักรพรรดิธีโอโดซีอุสที่ 2
โบสถ์หลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นมีชื่อว่า "Megálē Ekklēsíā"
ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกใช้ต่อมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ฮายาโซฟีอา"
หลังถูกชาวออตโตมันเติร์กยึดครองในปี 1453
เหตุการณ์เกี่ยวกับโบสถ์แห่งนี้ถูกบันทึกโดยโสกราตีสแห่งคอนสแตนติโนเปิล (ค.ศ. 380-440)
ผู้ซึ่งบันทึกไว้ว่าโบสถ์ฮายาโซฟีอาถูกสร้างโดยคอนสแตนตินมหาราช
โบสถ์ถูกสร้างขึ้นติดกับบริเวณที่กำลังสร้างพระราชวัง
และติดกับโบสถ์ฮายาไอรีนซึ่งมีขนาดเล็กกว่า แต่ถูกใช้เป็นโบสถ์หลักจนกระทั่งฮายาโซฟีอาสร้างเสร็จ
จักรพรรดิคอนสแตนติอุสที่ 2 เปิดฮายาโซฟีอาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 360
โบสถ์ทั้งสองกลายเป็นโบสถ์ที่สำคัญของจักรวรรดิไบแซนไทน์
โบสถ์หลังแรกถูกเผาทำลายไปในเหตุการณ์จลาจลในปี 404 จนไม่หลงเหลืออะไรให้เห็นในปัจจุบัน
โบสถ์หลังที่สอง
หินอ่อนจากโบสถ์หลังที่สอง
โบสถ์หลังที่สองสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิธีโอโดซิอุสที่ 2 และถูกเปิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 405
โบสถ์หลังที่สองถูกไฟไหม้ที่เกิดขึ้นระหว่างการจลาจลนิกา (Nika riots) ในวันที่ 13-14 มกราคม ค.ศ. 532
หินอ่อนบางส่วนจากโบสถ์หลังที่สองยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน และถูกแสดงไว้ในสวนของโบสถ์ปัจจุบัน (หลังที่สาม)
หินอ่อนเหล่านี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของทางเข้าด้านหน้าซึ่งถูกขุดพบในปี 1935
โบสถ์หลังที่สาม
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 532 หลังจากที่โบสถ์หลังที่สองถูกทำลายไปไม่นาน จักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1
ตัดสินใจให้สร้างโบสถ์หลังที่สามให้ยิ่งใหญ่และสวยงามกว่าโบสถ์หลังก่อน ๆ จักรพรรดิจัสติเนียนเลือกให้นักฟิสิกส์ อิสิโดโรสแห่งมิเลตุส และนักคณิตศาสตร์
แอนเทมิอุสแห่งทราเรสเป็นสถาปนิก แต่แอนเทมิอุสเสียชีวิตลงในปีแรก
มีการนำวัสดุก่อสร้างมาจากทั่วทั้งอาณาจักร
เช่น เสาแบบเฮเลนิสติกจากวิหารอาร์ทีมิส เมืองเอเฟซุส
หินขนาดใหญ่ถูกนำมาจากเหมืองหินที่อยู่ไกลออกไป
เช่น หินเนื้อดอกจากอียิปต์ หินอ่อนเขียวจากแคว้นเทสซาลี
หินดำจากแถบบอสฟอรัส และหินเหลืองจากซีเรีย
ในการก่อสร้างใช้แรงงานมากกว่าหมื่นคน จักรพรรดิและสังฆราชยูติชิอุสทำการเปิดโบสถ์ใหม่
ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 537
แต่การตกแต่งภายในโบสถ์ด้วยโมเสกนั้นต่อเนื่องจนถึงสมัยจักรพรรดิจัสตินที่ 2
แผ่นดินไหวในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 553 และวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 557
ทำให้เกิดรอยแตกในโดมหลักและโดมทางตะวันออก
โดมหลักพังลงมาทั้งหมดเพราะแผ่นดินไหวในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 558
จักรพรรดิจัสติเนียนจึงสั่งให้ทำการซ่อมแซมในทันที
โดยมอบหมายให้อิโสโดรุสซึ่งเป็นหลานของอิสิโดโรสแห่งมิเลตุส
ในการซ่อมแซมครั้งนี้ใช้วัสดุก่อสร้างที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเดิม
และยกให้โดมสูงขึ้นอีก 6.25 เมตร ทำให้อาคารมีความสูงเท่ากับปัจจุบันคือ 55.6 เมตร
การซ่อมแซมครั้งนี้เสร็จในปี 562
ในปี 726 จักรพรรดิลีโอที่ 3 ออกกฎต่าง ๆ ที่ต่อต้านการบูชารูปเคารพ
และสั่งให้กองทัพทำลายรูปเคารพทั้งหมด
ภาพและรูปปั้นทางศาสนาจึงถูกย้ายออกจากฮายาโซฟีอาทั้งหมด
ในสมัยของจักรพรรดินีไอรีน (797-802)
มีคำสั่งให้หยุดการทำลายไประยะหนึ่ง แต่หลังจากนั้นลัทธิทำลายรูปเคารพก็กลับมาอีกครั้ง
จักรพรรดิทีโอฟิลุส (829-842)
ได้รับอิทธิพลจากศิลปะศาสนาอิสลามซึ่งต่อต้านรูปเคารพเป็นอย่างมาก
เขาสั่งให้ติดอักษรสัญลักษณ์ของเขาไว้ที่ประตูทางทิศใต้
ตัวโบสถ์ถูกทำลายอย่างหนักด้วยไฟไหม้ในปี 859 และแผ่นดินไหว
เมื่อวันที่ 8 มกราคม 869 ซึ่งทำให้โดมเล็กหักไปข้างหนึ่ง
จักรพรรดิบาซิลที่ 1 มีคำสั่งให้ซ่อมแซมโบสถ์
หลังจากนั้นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 989 ซึ่งทำให้โดมใหญ่เสียหาย
จักรพรรดิบาซิลที่ 2 แห่งไบแซนไทน์จึงสั่งให้สถาปนิกชาวอาร์เมเนีย ทริแดท
ซึ่งสร้างโบสถ์แห่งอานี เป็นผู้ซ่อมโดม
ทริแดทซ่อมส่วนอาร์ชด้านตะวันตกและส่วนหนึ่งของโดม
ความเสียหายอย่างหนักของโบสถ์ทำให้การซ่อมแซมต้องใช้เวลานานถึง 6 ปี
โบสถ์ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 994